วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีการใช้งาน Projector อย่างถูกวิธี

การใช้งาน Projector อย่างถูกต้อง

             1.ผู้ใช้งานจะต้องต่อสายสัญญาณต่างๆ เช่น RGB, Video หรือ Audio ระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Projcetor ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสียบปลั๊กเปิดเครื่อง เพื่อความปลอดภัยของ Projector และคอมพิวเตอร์ของคุณ เนื่องจากการต่อสายสัญญาณต่างๆ หลังจากที่เปิดเครื่องแล้วอาจจะทำให้ Port หรือจุดต่อสัญญาณของ Projector และ Computer ของคุณเสียหายได้ถ้าหาก แม่แรงดันไฟฟ้า ระหว่างกราวด์ของคอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์ต่างกัน นอกจากนั้นอาจทำให้ภาพที่ฉายออกจอโปรเจคเตอร์ไม่ถูกต้องหรือไม่ออกเนื่องจากสัญญาณที่ส่งจากคอมพิวเตอร์ ไม่ Sync กับโปรเจคเตอร์ซึ่งจะต้องเสียเวลาสำหรับปรับแต่งใหม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและลดขั้นตอนการใช้งานจึงแนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวทุกครั้งนะครับ

            2.ในกรณีมีการพักหรือเบรคระหว่างการประชุม การปิดเครื่อง Projector เพื่อประหยัดอายุหลอดเป็นความคิดที่ผิด เนื่องจากในระหว่างการเปิดเครื่องจะต้องใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงกว่าในขณะที่หลอดสว่างเต็มที่ดังนั้นการเปิดเครื่องระหว่างที่หลอดยังร้อนอยู่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่หลอดภาพเสื่อมก่อนเวลาอันสมควร ซึ่งตามสถิติพบว่าโปรเจคเตอร์ ที่ใช้งานต่อเนื่องจะมีอายุหลอดมากกว่าโปรเจคเตอร์ ที่มีระยะเวลาการใช้แต่ละครั้งน้อย แต่มีการปิด-เปิดบ่อย ดังนั้นในกรณีที่ต้องการพักการประชุมเป็นเวลาสั้นๆ เช่น Coffe Break แนะนำให้กดปุ่ม Mute บนรีโมทเพื่อปิดภาพชั่วคราวแทนการปิดเครื่อง

           3.หลังจบการประชุมจะต้องปิดเครื่องโดยกดปุ่ม Power บนตัวเครื่องหรือบนรีโมทเท่านั้น ห้ามปิด Main Switch หรือยก Breaker หน้าห้องประชุมเด็ดขาดครับเพราะการทำดังกล่าวจะทำให้อายุการใช้งานหลอดภาพลดลงโดยที่ท่านไม่รู้ตัว และก่อนถอดสาย Power ออกเพื่อเก็บเครื่องลงกระเป๋าจะต้องแน่ใจว่าพัดลมระบายความร้อนหยุดหมุนแล้วเท่านั้น ซึ่งโปรเจคเตอร์รุ่นปัจุบันจะใช้เวลาระบายความร้อนหลอดหรือที่เรียกว่า Cooldown น้อยลงมากโดยที่ไม่ทำให้ท่านเสียเวลารอเหมือนโปรเจคเตอร์ในยุคแรกๆ

 

  การเชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์

            คุณสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ของคุณไปยัง Projector เพื่อแสดงการนำเสนอบนหน้าจอขนาดใหญ่

คำแนะนำข้างล่างนี้จะอธิบายวิธี Connection กับ Projector โดยการเสียบสาย เคเบิลของ Projector กับวิดีโอ Port บน Computer ของคุณ นี่เป็นวิธีทั่วไปในการ Connection กับ Projector

คุณยังสามารถเชื่อมต่อกับโปรเจคเตอร์บางประเภท (เรียกว่า โปรเจคเตอร์เครือข่าย) ผ่านเครือข่าย ซึ่งช่วยให้คุณแสดงงานนำเสนอผ่านเครือข่าย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในห้องหรือแม้แต่ในอาคารเดียวกันกับโปรเจคเตอร์ เมื่อต้องการดูว่าโปรเจคเตอร์ของคุณมีความสามารถด้านเครือข่ายนี้หรือไม่ ให้ตรวจสอบข้อมูลที่มาพร้อมกับโปรเจคเตอร์หรือติดต่อผู้ผลิต

ดาวน์โหลดและติดตั้งปลั๊กอิน Windows Media Player

ต้องการเชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์

  1. ตรวจสอบว่าโปรเจคเตอร์ เปิดอยู่ แล้วเสียบสาย Cable ของโปรเจคเตอร์เข้ากับวิดีโอพอร์ตบน Computer ของคุณ

หมายเหตุ

โปรเจคเตอร์ใช้สายเคเบิล VGA หรือ DVI คุณต้องเสียบสาย Cable เข้ากับวิดีโอพอร์ต ที่ตรงกันบนคอมพิวเตอร์ของคุณ แม้ว่าคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งจะมีวิดีโอพอร์ต ทั้งสองแบบ แต่แล็ปท็อปส่วนใหญ่จะมีเพียงแบบเดียว Projector บางรุ่นสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Port USB บนคอมพิวเตอร์ ของคุณ

ด้วยสายเคเบิล USB

พอร์ต VGA และ DVI

    โปรเจคเตอร์ Credit : http://projector7.com/LG-BD430.html
  1. เปิด 'แผงควบคุม' ด้วยการคลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม
  2. ในกล่องค้นหา ให้พิมพ์ โปรเจคเตอร์ แล้วคลิก เชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์

(เมื่อต้องการใช้แป้นพิมพ์ลัดแทน 'แผงควบคุม' ให้กดแป้นโลโก้ของ Windows P)

  1. เลือกวิธีที่คุณต้องการแสดงเดสก์ท็อปดังต่อไปนี้
    • เฉพาะคอมพิวเตอร์เท่านั้น (ซึ่งจะแสดงเฉพาะเดสก์ท็อปของคุณบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ)
    • ทำสำเนา (ซึ่งจะแสดงเดสก์ท็อปของคุณทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์)
    • ขยาย (ซึ่งจะขยายเดสก์ท็อปของคุณจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณไปยังโปรเจคเตอร์)
    • เฉพาะโปรเจคเตอร์เท่านั้น (ซึ่งจะแสดงเฉพาะเดสก์ท็อปของคุณบนโปรเจคเตอร์)

ตัวเลือกสี่รายการสำหรับวิธีการแสดงเดสก์ท็อปของคุณ

     คุณสามารถใช้ขั้นตอนเดียวกันนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณเข้ากับจอภาพแทนการใช้โปรเจคเตอร์

 

การปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ 
ถ้าต้องการปิดภาพ(Blank screen ) ให้กดปุ่มstandbyหนึ่งครั้ง ที่ตัวเครื่องหรือที่ตัวรีโมท ภาพจะไม่แสดงออกที่จอภาพ ตามเวลาที่ตั้งไว้ โดยตัวโปรเจคเตอร์ยังทำงานอยู่ (การตั้งเวลา Stand by จะอธิบายในส่วนของการใช้เครื่องโปรเจคเตอร์ ) เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ โปรเจคเตอร์จะทำการปิดเครื่องเอง ในกรณีที่ต้องการออกจากโหมดstand by ให้กดปุ่มstandby อีกครั้ง
การปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ InFocus รุ่น 930 ให้กดปุ่มPower หนึ่งครั้ง หลอดภาพจะดับและไฟLEDจะกระพริบสีส้ม ในขณะที่พัดลมยังคงหมุนเพื่อระบายความร้อน หลังจากโปรเจคเตอร์เย็นลงแล้ว ไฟLEDจะติดเป็นสีเขียว แล้วจึงดึงปลั๊กไฟ


** การปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ตามวิธีด้านบนนี้เป็นการบำรุงรักษาเครื่อง และช่วยให้อายุการใช้งานของหลอดไฟยาวนานมากขึ้น **
การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
ปัญหา : ไม่มีภาพแสดงบนจอ
o ตรวจสอบว่าปลั๊กไฟเสียบถูกต้องหรือไม่ 
o ตรวจสอบว่าฝาครอบเลนส์ได้ถูกถอดแล้ว 
o ตรวจสอบขาของคอนเน็คเตอร์ไม่บิดงอ
ปัญหา : สีและตัวอักษรไม่มี
• ให้ทำการปรับความสว่าง ( Brightness )
ปัญหา : ความละเอียดของภาพไม่ถูกต้อง
• ต้องทำการปรับความละเอียดของภาพไม่ให้เกิน 1280 x 1024
ปัญหา : ภาพไม่อยู่ตรงกลางของจอภาพ ( Screen )
• ปรับตำแหน่งของโปรเจคเตอร์ใหม่โดยให้ตั้งฉากกับจอภาพ 
• ปรับตำแหน่งทางแนวตั้ง ( Vertical ) และแนวนอน ( Horizontal ) ใหม่จากเมนู
ปัญหา : มีเฉพาะ Blank Screen บนจอภาพ
• ตรวจสอบสายสัญญาณต่าง ๆ ว่าต่อถูกต้องหรือไม่ 
• อาจจะต้องปิด / เปิด เครื่องใหม่อีกครั้ง 
• ตรวจสอบว่า Notebook ที่ใช้ ได้ทำการสั่งออกทางพอร์ทของภาพแล้ว
ปัญหา : ภาพที่ได้เล็กหรือใหญ่เกินกว่าจอภาพ
• จัดตำแหน่งของโปรเจคเตอร์ให้ถูกต้อง 


การเชื่อมต่อโปรเจคเตอร์
ก . กับคอมพิวเตอร์

1 สายไฟ
2 สายสัญญาณ D-sub กับ D-sub
3 สายสัญญาณ USB กับ USB

ข. กับเครื่องเล่น DVD: สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น DVD ได้ 3 วิธี
1. การเชื่อมต่อกับสายสัญญาณ Component:

1 สายไฟ
2 สายสัญญาณ D-sub กับ HDTV/Component

2. การเชื่อมต่อกับสายสัญญาณ S-video:

1 สายไฟ
2 สายสัญญาณ S-video

3. การเชื่อมต่อกับสายสัญญาณ Composite:

1 สายไฟ
2 สายสัญญาณวิดีโอ Composite

________________________________________
การเปิด/ปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ 
การเปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ 

หมายเหตุ: เปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ก่อนจะเปิดแหล่งสัญญาณภาพ

1. ถอดฝาเลนส์ 
2. ตรวจดูให้แน่ใจว่าสายไฟและสายเคเบิลสัญญาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อแน่นดีแล้ว ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องแสดงไฟกะพริบสีเขียว 
3. กดปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเพื่อเปิดการทำงานของโปรเจคเตอร์ โลโก้ Dell จะแสดงขึ้นเป็นเวลา 30 วินาที 
4. เปิดอุปกรณ์ส่งสัญญาณภาพ (เช่น คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก หรือเครื่องเล่นวิดีโอ ฯลฯ) โปรเจคเตอร์จะตรวจสอบแหล่งสัญญาณโดยอัตโนมัติ 
• หากบนหน้าจอปรากฏข้อความ "Searching for Signal... " (กำลังค้นหาสัญญาณ) ตรวจดูให้แน่ใจว่าสายสัญญาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เชื่อมต่อแน่นดีแล้ว 
• หากคุณเชื่อมต่ออุปกรณ์ส่งสัญญาณภาพหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ให้ใช้ปุ่ม Source บน รีโมทคอนโทรล หรือ แผงควบคุม เพื่อเลือกแหล่งสัญญาณที่คุณต้องการ 

1 ปุ่มเปิด/ปิด
2 ฝาครอบเลนส์


การปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ 
อย่าดึงปลั๊กไฟของโปรเจคเตอร์ก่อนที่จะปิดการทำงานของอุปกรณ์อย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปนี้ 
1. กดปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเพื่อปิดการทำงานของโปรเจคเตอร์ ข้อความ "Power off the lamp?" (ต้องการปิดหลอดไฟใช่หรือไม่) จะปรากฏขึ้นที่เมนู OSD 
2. กดปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอีกครั้ง พัดลมระบายความร้อนจะยังคงทำงานต่อไปอีกประมาณ 2 นาที 
3. หากไฟ LAMP สว่างเป็นสีส้มเข้มตลอด โปรดเปลี่ยนหลอดไฟ 
4. หากไฟ TEMP สว่างเป็นสีส้มเข้มตลอด แสดงว่าเครื่องโปรเจคเตอร์ร้อนเกินไป จอแสดงผลจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ให้ลองเปิดฉายภาพอีกครั้งหลังจากเครื่องโปรเจคเตอร์เย็นลงแล้ว หากยังประสบปัญหาดังกล่าวอีก โปรด ติดต่อ Dell 
5. หากไฟ TEMP กะพริบเป็นสีส้ม แสดงว่าพัดลมของโปรเจคเตอร์ไม่ทำงาน และโปรเจคเตอร์จะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ หากยังประสบปัญหาดังกล่าวอีก โปรด ติดต่อ Dell 
6. ปลดสายไฟจากเต้ารับและโปรเจคเตอร์ 
7. ในกรณีที่คุณกดปุ่มเปิด/ปิดในขณะที่เครื่องยังทำงานอยู่ ข้อความ "Power off the lamp?" (ต้องการปิดหลอดไฟใช่หรือไม่) จะปรากฏบนหน้าจอ หากต้องการยกเลิกข้อความดังกล่าว ให้กดปุ่มใดก็ได้บนแผงควบคุม หรืออยู่เฉยๆ ข้อความดังกล่าวจะหายไปหลังจาก 5 วินาที 
________________________________________
การปรับภาพที่ฉาย 
การปรับความสูงของโปรเจคเตอร์ 

วิธีปรับระดับโปรเจคเตอร์ให้สูงขึ้น: 
1. กดปุ่ม Elevator (ตัวยก) 
2. ยกโปรเจคเตอร์ให้อยู่ในมุมที่ต้องการ จากนั้นให้ปล่อยปุ่มดังกล่าวเพื่อล็อคขาของตัวยกให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ 
3. ใช้ล้อปรับความลาดเอียง เพื่อปรับมุมการฉายภาพให้เหมาะสม 
วิธีปรับระดับโปรเจคเตอร์ให้ต่ำลง: 
1. กดปุ่ม Elevator (ตัวยก) 
2. ดันโปรเจคเตอร์ให้ต่ำลง แล้วปล่อยปุ่มดังกล่าวเพื่อล็อคขาของตัวยกให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ 
ข้อสังเกต: เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โปรเจคเตอร์ได้รับความเสียหาย โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ดันเก็บตัวยกเข้าที่จนสุดแล้ว ก่อนที่จะใส่โปรเจคเตอร์ลงในกระเป๋า 

1 ปุ่มตัวยก
2 ขาตั้งยก
3 ล้อปรับความลาดเอียง

________________________________________
การปรับโฟกัสของโปรเจคเตอร์ 
หมุนแกนปรับโฟกัสจนกว่าภาพที่ฉายจะชัดเจน โปรเจคเตอร์สามารถโฟกัสภาพในระยะห่างตั้งแต่ 4.0 ฟุต ถึง 39.4 ฟุต (ตั้งแต่ 1.2 เมตร ถึง 12 เมตร) 



1 แกนปรับโฟกัส

________________________________________
การปรับขนาดของภาพที่ฉาย

หน้าจอ
(เส้นทแยงมุม) 29.4" (74.7cm) 81.6" (207.3cm) 133.8" (339.9cm) 185.3" (470.6cm) 237.5" (603.3cm) 289.7" (735.9cm) 
ขนาด หน้าจอ 23.5"X17.7" 65.3"X49.0" 107.1"X80.3" 148.2"X111.2" 190.0"X142.5" 231.8"X173.8" 
(59.8cmx44.8cm) (165.8cmx124.4cm) (271.9cmx203.9cm) (376.5cmx282.4cm) (482.6cmx362.0cm) (588.7cmx441.5cm) 
ระยะห่าง 4.0' (1.2m) 11.1' (3.4m) 18.2' (5.5m) 25.2' (7.7m) 32.3' (9.8m) 39.4' (12.0m) 
* กราฟนี้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับผู้ใช้เท่านั้น

การเปลี่ยนหลอดไฟ
โปรดเปลี่ยนหลอดไฟเมื่อคุณเห็นข้อความ "Lamp is approaching the end of its useful life. Replacement Suggested." (หลอดไฟใกล้หมดอายุการใช้งาน แนะนำให้เปลี่ยนหลอดไฟ) แสดงบนจอภาพ หากยังประสบปัญหาดังกล่าวอีก โปรด ติดต่อ Dell

ข้อควรระวัง: หลอดไฟมีความร้อนสูงเมื่อใช้งาน อย่าพยายามเปลี่ยนหลอดไฟหลังการใช้งาน จนกว่าจะปล่อยให้เครื่องโปรเจคเตอร์เย็นลงเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที
ขั้นตอนการเปลี่ยนหลอดไฟ: 
1. ปิดสวิตช์โปรเจคเตอร์ และถอดสายไฟออก 
2. ปล่อยให้เครื่องโปรเจคเตอร์เย็นลงเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที 
3. คลายสกรู 2 ตัวที่ยึดฝาครอบหลอดไฟ แล้วถอดฝาครอบออก 
4. คลายสกรู 3 ตัวที่ยึดหลอดไฟ 
5. ดึงหลอดไฟโดยจับที่ตัวโครงเหล็ก 
6. ทำซ้ำย้อนกลับขั้นตอน 1 ถึง 5 เพื่อติดตั้งหลอดไฟใหม่ 
7. รีเซ็ตหลอดไฟ โดยการเลือกที่ไอคอน Lamp Reset ด้านซ้าย ในแท็บ Management (การจัดการ) ของเมนู OSD 
8. Dell อาจกำหนดให้นำหลอดไฟที่เปลี่ยนตามการรับประกัน ส่งคืนกลับมายัง Dell มิเช่นนั้น โปรดติดต่อหน่วยงานกำจัดสิ่งปฏิกูลในท้องที่ของท่าน เพื่อขอทราบสถานที่จัดเก็บในละแวกใกล้เคียง 


ข้อควรระวัง: อย่าจับหลอดไฟหรือกระจกหลอดไฟไม่ว่าเมื่อใด หลอดไฟอาจแตกระเบิดได้หากถือไม่ถูกต้อง รวมถึงการจับหลอดไฟหรือกระจกหลอดไฟ
• ปรับภาพย่อ / ขยาย ( Zoom )



ขอบคุณบทความจาก : projectorok.com">http://www.projectorok.com

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Preview : โปรเจคเตอร์ Hitachi รุ่น CP-AW3005(Ultra Short Throw)

projector

พบกันอีกครั้ง สำหรับการพรีวิวโปรเจคเตอร์จากค่ายฮิตาชิ ซึ่งก่อนอื่น ทางเราก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนเลยนะครับ ที่คอยติดตามอ่านกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้ทางเราก็ขอพรีวิวโปรเจคเตอร์เป็นตัวที่เท่าไหร่แล้วหนอ จำไม่ได้ (55 ) เเล้วที่ผ่านมาก็ได้รับคำติชมจากเพื่อนๆ ที่คอยติดตามมาบ้าง ส่วนเรื่องไหนที่ไม่ดีกระผมก็ขอสัญญาว่าจะปรับปรุงแก้ไข Contentให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ^^ ซึ่งในวันนี้กระผมก็จะมาเสนอโปรเจคเตอร์แบบ Ultra Short Throw กันอีกรุ่นนั้นก็คือรุ่น CP-AW3005 ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักกับ Projector Ultra Short Throw เดียวกระผมจะมาอธิบายให้ฟังกันอีกรอบนะครับ

aw3005

โปรเจคเตอร์ Ultra Short Throw เป็นโปรเจคเตอร์ที่ถูกออกแบบเลนส์มาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในการฉายภาพระยะใกล้ โดยปกติแล้วโปรเจคเตอร์แบบทั่วไปนั้นจะใช้ระยะห่างจากจอประมาณ 3 - 5 เมตรเพื่อฉายภาพขนาด 100 นิ้ว แต่ถ้าเป็นโปรเจคเตอร์แบบ Ultra Short Throw นั้นสามารถฉายภาพขนาด 100” ได้โดยระยะห่างจากจอไม่ถึงเมตร การเลือกโปรเจคเตอร์แบบ Ultra Short Throw นั้นให้สังเกตจากค่า Throw ratio ซึ่งถ้ามันมีค่ายิ่งน้อยนั้นแปลว่ามันนั้นสามารถฉายภาพขนาดใหญ่ได้แม้จะมีระยะฉายน้อยก็ตาม ซึ่งตัวโปรเจคเตอร์ CP-AW3005 นั้นมีค่า  Throw ratio อยู่ที่ 0.2:1 from edge of projector screen และ 0.3:1 mirror cover to screen

โปรเจคเตอร์ CP-AW3005 มากับความละเอียดระดับ WXGA 1,280*800 resolution พร้อมกับความสว่าง 3,300 ANSI lumens และยังมีอัตราความคมชัดสูงพร้อมกับ Function มากมายที่จะทำให้ภาพที่ออกมากนั้นมีสีสันที่สดใส และคมชัด แม้ Projector อย่าง CP-AW3005 นั้นจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแต่ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่ายทำให้การฉายภาพนั้นเป็นเรื่องง่ายมากเลยทีเดียว ส่วนสเปคทั้งหมดของโปรเจคเตอร์ CP-AW3005 ก็ตามตารางด้านล่างเลยนะครับ

 

Display
      Projection Technology : 3LCD, 3 chip technology
      Resolution : WXGA 1280 x 800
      White Light Output : 3,300 ANSI lumens
      Color Light Output : 3,300 ANSI lumens      

      Colors : 16.7 million colors
      Aspect Ratio : Native 16:10 / 4:3 and 16:9 compatible
      Contrast Ratio : 10,000 : 1 (using active IRIS)
      Throw Ratio : 0.2 : 1 from edge of prejector to screen,0.3 : 1 from mirror cover to screen
      Focus Distance : 16" - 27" from mirror cover to screen
      Display Size : 60" - 100"

 

Lens & Operation
      Lens : F = 1.8, f = 4.21 mm
      Lap Wattage : 250W
      Expected Lamp Life* : Approximately 5,000 hours (Sandard mode) 10,000 hours (Eco-2 mode)
      Expected Filter Life** : Approximately 4,000 hours
      Speaker Output : 16W x 1
      Keystone : H and V: /- 5'


Compatibility
      Computer : VGA, SVGA, XGA, WXGA/WXGA /SXGA/SXGA /UXGA(compressed), MAC 16"
      H-Sync : 15 kHz- 106kHz
      V-Sync : 50 Hz - 120Hz
      Composite Video : NTSC, NTSC4.43, PAL, PAL-M. -N, SECAM
      Component Video : 480i, 480p, 576i, 720p, 1080i, 1080p
      HDMI : 480i, 480p, 576i, 720p, 1080i, 1080, Computer signal TMDS Clock 27MHz - 150 Mhz

 

Connectors
      Digital Input : HDMI x 2 (HDCP compliant)
      Computer Input 1 : 15-pin mini D-sub x 1
      Computer Input 2 : 15-pin mini D-sub x 1
      Computer Monitor Output : 15-pin mini D-sub x 1
      Videio Input 
          S-Video : N/A
          Compositve Video : RCA jack x 1
          Component Video : 15-pin mini D-sub 2 (shared with computer in 1/2)
     Audio Input : 3.5mm stereo mini jack x 2, RCA jack (L/R) x 1
     Audio Output : 3.5mm stereo mini jack x 1
     Network LAN Wired : RJ-45 port (100 base-T / 100 base-TX)
     Nework LAN Wireless : USB-A, IEEE802.11 b/g/n - optional wireless adapter required
     USB : Type A x 2 (Pc-less presentation, wireless adapter), Type B x 1 (USB display or mouse control)
     Control Terminals : 9-pin D-sub x 1 (RS-232 control)


Ratings & Warranty
      Power Supply : AC90-132V / AC198-264V, 50/60Hz
      Power Consumption : 360W
      Operating Temperature: 32  ํF - 104  ํF (0  ํC - 40  ํC)
      Dimensions (W x D x H): 14.8" x 14.2 x 5.4" (excluding protruding parts)
      Weight : Approximately 4.3 kg.
      Approvals : 2 year limited parts and labor Extended Service Contract available (additional cost)

spec aw3005

____________________

 

Spec ของโปรเจคเตอร์ตัวนี้ทำมาได้ดีเลยทีเดียวทั้งความละเอียดระดับ WXGA และความสว่าง 3,300ANSI lumens พร้อมกับฟังก์ชั่น Accentualizer และ HDCR ที่ทำให้ภาพที่ฉายออกมานัันคมชัดและสมจริงมากยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบ Tabletop Presentation ที่ทำให้คุณนั้นสามารถใช้งานโปรเจคเตอร์ได้อย่างสบายแม้แต่ในพื้นที่จำกัด

1.Cloning Function ฟังก์ชั่นที่สามารถ Copy การตั้งค่าจากเครื่องหนึ่งสู่อีกเครื่องหนึ่งได้โดยผ่านอุปกรณ์ USB ทำให้การตั้งค่า Projector นั้นง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
2.ImageCare Technology เทคโนโลยีที่รวบรวมประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานเอาไว้ด้วยกันทำให้เมื่อฉายภาพออกมานั้นจะได้ประสิทธิภาพที่สูงสุดและใช้พลังงานคุ้มค่าที่สุด
3.Interlligent Eco and Saver Modes ฟังก์ชั่นที่จะเปลี่ยนความสว่างของหลอดให้เป็นไปตามระดับแสงของห้อง บวกกับฟังก์ชั่น ImageCare ทำให้ประสิทธิภาพของภาพนั้นดีที่สุดและประหยัดพลังงาน
4.Perfect Fit2 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับมุมมองแต่ละด้านอย่างอิสระ คุณสมบัตินี้จะช่วยให้ปรับทิศทางได้อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อช่วยให้ภาพที่ฉายนั้นถูกต้องและพอดีกับหน้าจอได้อย่างรวดเร็ว
5.Projector Quick Connection App For Mobile Devices คุณสามารถเชื่อต่อโปรเจคเตอร์ของคุณผ่าน Application บนระบบ IOS ได้อย่างรวดเร็วโดนผ่านอุปกรณ์เสริมอย่าง USBWL11N wireless adapter

 

โปรเจคเตอร์ Hitachi รุ่น AW3005 มีราคาอยู่ที่ 109,000 บาทครับ สำหรับวันนี้ก็ขอจบการนำเสนอโปรเจคเตอร์ AW3005 เพียงเท่านี้นะครับครั้งหน้าจะเป็นการพรีวิวโปรเจคเตอร์รุ่นอะไรมีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่คอยติดตามกันต่อไปได้เลยนะครับ สำหรับวันนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ BYEbye..

_____________________________________________


ติดต่อได้ที่ : 081-359-9940 ถึง 9943
Website : www.projectorok.com
Facebook : www.facebook.com/projectorok

_____________________________________________



ขอบคุณบทความจาก : http://www.projectorok.com

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แนะนำการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์

วิธีเลือกซื้อโปรเจคเตอร์อย่างไร

วิธีเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ (Projector) ขอจำแนกออกเป็นประเภทดังนี้

ชนิด Ultra Portable
น้ำหนัก 4-10 ปอนด์ เหมาะสำหรับนักเดินทาง หรือการพกพาไปยังต่างๆ ใช้ในพื้นที่จำกัด แต่อย่างไรก็ตามเครื่องโปรเจคเตอร์ที่มีน้ำหนักเบาเกินไปอาจทำให้คุณภาพของเครื่อง{โปรเจคเตอร์| Projector) บางรุ่นด้อยลงไปด้วย เช่น ค่าความคมชัด, ค่าความสว่าง แต่ถ้าเครื่องยิ่งมีขนาดเล็กและมีคุณสมบัติที่ดีนั่นก็หมายความถึงราคาที่ แพงขึ้น เป็นเงาตามตัวด้วย

ประเภท  Portable
น้ำหนัก 10-20 ปอนด์ เหมาะสำหรับห้องประชุมหรือห้องสัมมนาทั่วไป หรือห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาสักหน่อย เนื่องจากตัวเครื่อง Projector จะให้ความคมชัด และความสว่างที่ดีกว่าแบบแรก

ชนิด  Conference
น้ำหนัก 20 ปอนด์ ขึ้นไป เหมาะแก่การติดตั้งแบบถาวร กึ่งถาวร หรือมีการเคลื่อนย้ายน้อยครั้ง และด้วยเครื่องที่ขนาดนี้ก็รับประกันได้เลยว่า ตัวเครื่องนั้นมีความสามารถที่เป็นเยี่ยมอย่างแน่นอน แต่มันก็มีขนาดที่ค่อนข้างหนัก และเคลื่อนย้ายลำบาก แต่ถ้าดูแล้วความสามารถของเครื่องนั้นไม่เหมาะสมกับราคา และน้ำหนักก็ให้มองข้ามรุ่นนั้นไปได้เลย เนื่องจากในปัจจุบันนี้เครื่องโปรเจคเตอร์ ยังไม่มีรุ่นที่แบบเล็กมากๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่มีขายอยู่ในตลาดประเทศเรา พวกเราก็สามารถใช้งานได้หลากหลายแล้ว แต่ถ้ามีงบที่พอ ก็อาจจะเพิ่มการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ในรุ่นที่ใหญ่กว่าเนื่องจาก มีความสามารถ และคุณสมบัติที่มากกว่าการใช้งานรุ่นเล็กซึ่งก็จะทำให้คุ้มค่า กว่าได้

______________


DLP หรือ LCD
ตัวย่อสองตัวนี้หมายถึงเทคโนโลยีของเครื่อง Projector ซึ่ง DLP ย่อมาจาก Digital Light Processing ส่วน LCD ก็ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งทั้งสองแบบนี้ก็ต่างกันที่ DLP เป็นเทคโนโลยีแบบดิจิตอลล้วน ๆ ที่สามารถทำให้การนำเสนอผลงานหรือสร้างผลงานให้มีความคมชัดสูง และมีความสว่างที่มาก ทำให้สามารถอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ขนาดจำกัดได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่อง Projector แบบ Ultra Portable ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดประเทศไทยนั้น โดยมากจะใช้เทคโนโลยี DLP นี้ โดย Technology นี้ก็อยู่บนพื้นฐานของ Digital Micromirror Display (DMD)

ส่วนเครื่อง Projector แบบ LCD นั้นจะด้อยกว่าแบบ DLP ตรงที่เครื่องโปรเจคเตอร์แบบ LCD นั้นยังมีบางส่วนที่เป็น Analog System รวมอยู่ด้วย และด้วยเครื่องฉายภาพระบบ DLP สามารถที่จะให้ความคมชัดที่สูงกว่า และให้ความถูกต้องของสีมากกว่า เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการทำงานแบบ Digital ทำให้หมดปัญหาในเรื่องของการบิดเบือน หรือการลดทอนสัญญาณในกระบวนการแปลงค่าดิจิตอลให้เป็นอะนาล็อก อย่างที่เกิดขึ้นในระบบ LCD โปรเจคเตอร์ที่มีระบบแบบ DLP และ LCD แต่อย่างไรก็ตามเครื่องโปรเจคเตอร์ในระบบ LCD ก็ ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อที่จะลดข้อด้อยดังที่กล่าวมา ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะทำให้แยกไม่ออกในเรื่องของการทำงาน ว่าเครื่อง Projector เครื่องไหนเป็น DLP System หรือเครื่องไหนเป็น LCD System ก็เมื่อไปทำการซื้อก็ให้ทดลองฉายภาพดูแล้ว ทำการเปรียบเทียบภาพที่ได้ ว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนเรื่องของราคาเครื่อง Projector ในระบบ LCD อาจจะถูกกว่าเครื่อง Projector ในระบบ DLP บ้าง ที่ความสามารถเท่าๆ กัน แต่ก็ไม่สามารถหาผลสรุปได้แน่ชัด เนื่องจากขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ ฟังก์ชัน หรือฟีเจอร์อื่นๆ ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ราคาเครื่อง Projector ในระบบ LCD แพงกว่าราคาเครื่องโปรเจคเตอร์ ในระบบ DLP ก็ได้

______________

ค่าความสว่าง/หลอดไฟ
การใช้งานเครื่อง Projector ใน ห้องที่มีขนาดใหญ่ สิ่งที่สำคัญก็คือภาพที่ฉายออกไปนั้นจะต้องมีขนาดที่ใหญ่ มีความสว่างในการใช้งานที่ดี ความคมชัดสูง เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นภาพที่ชัดเจน และสิ่งที่ทำให้เกิดความสามารถนี้ได้ นั่นก็คือ ความสว่างของการฉายภาพ เพราะหากแสงไม่พอภาพที่ได้นั้นจะไม่มีความคมชัด นอกจากนั้นความสว่าง ที่ว่านี้ยังส่งผลโดยตรงต่อการนำเสนอแล้ว ยังแปรผันโดยตรงกับความสว่างของ ห้องด้วย คือ ถ้าความสว่างของเครื่องโปรเจคเตอร์ นั้นน้อยก็จะต้องทำการปรับความสว่างของห้องที่ใช้งานให้น้อยหรือมืดไปเลยตามไปด้วย แต่ถ้าหากเครื่องโปรเจคเตอร์ มีความสว่างที่มากพอ แม้ว่าห้องที่ใช้งานอยู่นั้นจะมีการเปิดไฟหรือมีความสว่างอยู่บ้าง ก็จะทำให้ภาพที่ได้ยังคมชัดอยู่ และยังสามารถใช้ความว่างนั้นทำกิจกรรมอย่างอื่นไปได้ด้วยเช่นการจดบันทึก หรือโน้ตย่อตามการนำเสนอนั้นๆ ร่วมกันไปด้วยได้ ค่าความสว่างของเครื่อง Projector นี้มีหน่วยวัดเป็น ANSI lumen ยิ่งมีค่ามากเท่าไรก็ยิ่งมีความสว่างของเครื่องมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะช่วยให้คุณภาพของภาพที่ได้มีขนาดใหญ่ และมีความคมชัดมากขึ้น สำหรับการเลือกซื้อก็จะต้องมีการพิจารณาประกอบ ดังนี้

______________


ค่าความสว่าง/ความเหมาะสม
น้อยกว่า 500 ANSI lumens เหมาะแก่ห้องขนาดเล็ก /จำนวนผู้ฟังน้อย /ในห้องที่มืด
500 – 1,000 ANSI lumens เหมาะใช้กับห้องสัมมนาตามสำนักงานต่างๆ หรือในห้องเรียน/จำนวนผู้ฟังขนาดกลาง/ต้องการแสงสว่าง ในการนำเสนอบ้างแต่ไม่มากนัก
1,000 – 1,500 ANSI lumens เหมาะแก่ห้องประชุมขนาดใหญ่ หรือในห้องเรียนรวม/ฉายในห้องที่มี แสงสว่างปกติ
มากกว่า 1,500 ANSI lumens เหมาะแก่สถานที่ขนาดใหญ่, ตามศูนย์การประชุมต่างๆ/ฉายในห้องที่มี แสงสว่างปกติ

ถ้ามีงบที่เพียงพอก็ให้พยายามเลือกซื้อรุ่นที่มีค่า ANSI lumen สูงๆ เท่าที่จะสูงได้ เพราะจะช่วยให้คุณภาพของภาพที่ได้มีความคมชัดมากขึ้น แต่ค่าความสว่างนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับหลอดไฟหรือชนิดของหลอดไฟด้วย โดยทั่วไปหลอดไฟที่ใช้ในเครื่อง Projector ก็มีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือแบบ Metal Halide และ UHP (Ultra-High Performance) โดย แบบ Metal Halide นั้น จะเป็นเทคโนโลยีเก่าที่ถูกใช้มานานแล้วทำให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเมื่อใช้งานไปนานจะสูญเสียความสว่างลงไปอีกทั้งยังเกิดความผิดเพี้ยน ของสีของภาพอีกด้วย ในขณะที่เทคโนโลยี UHP นั้นจะยังคงรักษา ประสิทธิภาพเอาไว้ตลอดอายุการใช้งานอีกเช่นเดียวกันราคาก็จะสูงกว่าบ้าง แต่ถ้าดูอย่างอื่นๆ ประกอบด้วยโดยรวมถ้าราคาใกล้เคียงกันแบบ UHP ก็เป็นส่วนที่น่าสนใจกว่า

โปรเจคเตอร์ Credit : http://www.champpradubyont.com/product/index.php?page=shop.product_details&flypage=flypage.tpl&product_id=2096&category_id=36&option=com_virtuemart&Itemid=79

______________

ความละเอียด/ความคมชัด
ตัว Projector รุ่นต่างๆ ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป เนื่องจากตัวโปรเจคเตอร์ จะมีวิธีการสร้างภาพที่ต่างกัน แต่ก็จะใช้การเรียนของจุดสีหรือที่เรียกว่า “Pixel” ประกอบกันขึ้นมาทีละแถวหรือเส้นและเมื่อรวมกันเข้าหลายๆ เส้นก็จะเกิดเป็นภาพขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ความคมชัดหรือความละเอียดของภาพนี้ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างจำนวนจุดสีหรือพวกเซลนี้ขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน ความละเอียดของ Projector นี้จะมีการแสดงค่าเป็นตัวเลข 2 จำนวน เช่น 800 X 600 Pixel โดยตัวเลขแรก หมายถึงจำนวนPixelที่มีการจัดเรียงกันตามแนวนอน ส่วนตัวเลขที่สอง หมายถึง จำนวนPixelที่มีการจัดเรียงกันในแนวตั้ง ตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้ยิ่งมีค่าสูงมากเท่าไรก็หมายถึงว่าค่า ความคมชัดและรายละเอียดของภาพจะสูงมากขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับการใช้งานนั้นค่าความละเอียดหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับงานประเภทหนึ่ง เนื่องจากถ้ามีการซื้อเครื่องที่มีความละเอียดสูงมาใช้งานเกินความจำเป็นก็ จะทำให้เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ก็ขอให้พิจารณาจากตัวอย่างการใช้งาน

* หากมีการนำเสนอหรือแสดงผลการด้วยโปรแกรม PowerPoint ภาพที่จะออกมานั้นก็จะเป็นGraphicเป็นส่วนใหญ่ โดยจะไม่มีความซับซ้อนหรือรายละเอียดของภาพมากนัก ก็อาจจะใช้ Projector ที่มีความละเอียดที่ 800 x 600 พิกเซลก็ได้
* ถ้ามีการใช้โปรแกรมประเภทตาราง หรือมีการเสนองานที่อยู่ในรูปแบบของตาราง หรือรูปภาพกราฟิกที่มีรายละเอียดที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาสักหน่อยก็แนะนำให้ใช้ Projector รุ่น XGA ที่มีความละเอียด 1,024 x 768 พิกเซล ก็จะทำให้รายละเอียดของภาพนั้นมีความคมชัดมากขึ้น
* หากในการนำเสนอมีการใช้โปรแกรมประเภทออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือประเภท CAD/CAM ต้องเลือกซื้อรุ่นที่มีความคมชัดสูงสูงในระดับ SXGA โดยจะมีความละเอียดที่ 1,280 x 1, 024 พิกเซล ก็เพื่อช่วยให้รายละเอียดของภาพนั้นไม่มีการบิดเบือนไปจากพาจริงมากนัก เนื่องจากภาพประเภทนี้เป็นภาพที่มีรายละเอียดสูง มีความซับซ้อนมาก
ความละเอียดของตัวโปรเจคเตอร์ มีมากเพียงใดแต่ถ้ารุ่นของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่รองรับ หรือไม่สามารถที่จะแสดงภาพได้เต็มความสามารถของเครื่อง Projector ความละเอียดที่มีสูงๆ ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไป ก็ให้ทำการตรวจสอบรุ่นของเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าสามารถที่จะใช้งานกับโปรเจคเตอร์รุ่นที่ต้องการนี้ได้หรือไม่
นอกจากนี้แล้วตัวเครื่อง Projector ยังขึ้นอยู่กับค่า Contrast

“Contrast” หรือค่าความต่างของตัวเครื่องด้วย โดยค่านี้จะแสดงถึงความแตกต่างระหว่างค่าสูงสุดของความสว่างและความมืดที่ อยู่บนจอภาพ ซึ่งค่า Contrast ที่ดีควรจะอยู่ในอัตราส่วน 150:1 หรือมากกว่า ซึ่งถ้าค่า Contrast ยิ่งมากเท่าไรก็จะช่วยให้เกิดมิติ และความคมชัดของภาพได้สูงขึ้นเท่านั้น แต่ค่า Contrast นี้จะไม่ค่อยมีผลเท่าไรกับภาพที่คุณภาพของภาพต่ำ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ให้ทำการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ ที่มีค่า Contrast สูงๆ ไว้ก่อน


______________

 

Port ต่างๆ ของเครื่อง Projector
ความจำเป็นในการใช้งานของ Projector นั้นอาจจะไม่เหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นเครื่อง Projector จึง จะต้องมี Port สำหรับการ Connection กับอุปกรณ์ต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่นั่นก็จะหมายถึงราคาของเครื่องโปรเจคเตอร์ที่อาจจะเพิ่มขึ้นมาด้วย เนื่องจากPortจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มความหลากหลายในการใช้งานของ Projector ได้มากยิ่งขึ้น แต่พอร์ตที่มีแน่ๆ ในโปรเจคเตอร์ ทุกเครื่องก็คือ พอร์ต RGB In ที่เป็นPort สำหรับเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์


การปรับภาพ
เครื่องมือที่ช่วยในการปรับภาพของเครื่องโปรเจคเตอร์ นั่นก็คือ Focus & Zoom โดยที่เครื่อง Projector บางตัวบางรุ่นบางยี่ห้อจะสามารถปรับในสิ่งเหล่านี้ได้แบบ manual ด้วยการหมุนวงแหวนที่อยู่บนตัว Lens ด้านหน้าของเครื่องโปรเจคเตอร์ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาพร้อมกับระบบ Focus & Zoom Control ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการใช้งานโดยการกดปุ่มที่อยู่ด้านบนของโปรเจคเตอร์ ก็สามารถที่จะปรับค่าต่างๆ ได้แล้ว ในบางรุ่นอาจจะใช้ Remote Control หรือ ใช้ Remote ควมคุบ ตัวเลนส์ของเครื่องโปรเจคเตอร์ ก็มีความสำคัญเหมือนกัน โดยถ้า Lens มีการขยายที่ดีก็จะช่วยให้การควบคุมขนาดของภาพทำได้ดีขึ้นโดยการซูมเข้าหรือซูมออก ซึ่งก็อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับห้องแต่ละห้องที่อาจจะมีขนาดของจอภาพไม่เท่ากัน


______________



ระบบควบคุม
Remote Control System จะช่วยให้การควบคุมการทำงานของโปรเจคเตอร์ การปรับความคมชัดของภาพ หรือการปรับแต่งอื่นๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นซึ่งจะทำการจากมุมใดมุมหนึ่งในห้องก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามปุ่มที่อยู่บนรีโมทนั้นอาจจะเป็นปุ่มที่ทำให้การใช้งานง่าย ก็จริงแต่ไม่ควรที่จะละเลยที่จะใช้ปุ่มที่อยู่กับเครื่อง Projector เพราะถ้าเกิดรีโมทเสียขึ้นมาละยุ่งแน่ 555

 

______________



ร้านค้า/ตัวแทนจำหน่าย
สำหรับ Projector นั้น ร้านค้าที่นำมาขายนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านเจ้าใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีร้านค้าย่อยๆ ทำการซื้อมาเก็บใน Stockไว้รอขายเนื่องจากราคาของprojectorok.com">โปรเจคเตอร์นั้น ค่อนข้างสูงอาจจะไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ต้องเสียไป แต่ก็อาจจะมีไปสั่งซื้อจากร้านใหญ่ๆ มาอีกทีหนึ่งเมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อ โดยในส่วนนี้ถ้าเป็นไปได้ก็ทำการซื้อจากร้านค้ารายใหญ่ๆ เลยก็ได้เพราะอาจจะมีสินค้าโปรโมชั่น หรือราคาถูกนั้นเองแต่ก็ให้ศึกษาข้อมูลของร้านนั้นให้ดีด้วย เช่น การบริการเป็นอย่างไร ไม่ใช้ว่าขายแล้วทิ้งไม่รับผิดชอบลูกค้าเลย หรืออีกร้านหนึ่งขายในราคาที่สูงกว่านิดหน่อยแต่ก็มีการรับประกันที่ดีกว่า ก็ให้เลือกในกรณีหลังจะดีกว่า และอีกประการหนึ่งคือพนักงานขายที่มีการเดินสายขายเครื่อง Projector ไป ยังที่ต่างๆ ก็ให้ทำการตรวจสอบข้อมูลของบุคคลเหล่านี้ด้วยว่าสักกัดอยู่ที่ร้านนี้จริง หรือไม่มิใช่มาแอบอ้างแล้วทำให้เกิดข้อผิดผลาดขึ้นมาได้



เครดิต : http://www.projectorok.com